หนึ่งในคำถามที่สำคัญที่สุดสำหรับการวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นก็คือ “ควรจะไปเดือนไหนดี” เพราะคำตอบนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากไปเจอกับประสบการณ์แบบไหน อยากเดินเล่นสบาย ๆ ท่ามกลางอากาศเย็น หรืออยากสัมผัสความคึกคักของเทศกาลฤดูร้อน?
เพื่อช่วยให้การตัดสินใจของคุณง่ายขึ้น อัปเดตปี 2568-2569 นี้ ได้รวบรวมข้อมูลสำคัญมาให้คุณครบจบในที่เดียว เราจะพาไปดูกันว่าสภาพอากาศในแต่ละเดือนเป็นอย่างไร มีไฮไลท์เด็ดอะไรที่รอคุณอยู่ และช่วงไหนที่เหมาะกับสไตล์การท่องเที่ยวของคุณมากที่สุด ไปกันเลย
ฟันธง! 2 ฤดูที่อากาศดีและน่าเที่ยวญี่ปุ่นที่สุด (สำหรับคนส่วนใหญ่)
หากจะให้ตอบคำถามแบบรวบรัดและตรงประเด็นที่สุดว่าช่วงไหนอากาศดีและเหมาะกับการไปเที่ยวญี่ปุ่นมากที่สุด คำตอบที่ชัดเจนก็คือ ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่นครับ เพราะทั้งสองฤดูนี้เปรียบเสมือนช่วงเวลาทอง ของการท่องเที่ยวญี่ปุ่น เพราะมีสภาพอากาศที่เย็นสบาย ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป ทำให้การเดินเที่ยวชมเมืองหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นไปอย่างเพลิดเพลินที่สุด แต่เสน่ห์ของทั้งสองฤดูก็แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้ครับ
ฤดูใบไม้ผลิ (ปลายมีนาคม - พฤษภาคม) ที่สุดแห่งความสดใสมีชีวิตชีวา
นี่คือฤดูที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างใฝ่ฝันที่จะมาเยือนญี่ปุ่นสักครั้ง บรรยากาศจะเต็มไปด้วยความสดชื่นหลังจากผ่านพ้นฤดูหนาวอันยาวนาน ต้นไม้ใบหญ้ากลับมาเขียวขจี อากาศเย็นสบายกำลังดี (อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 12-20°C) เหมาะกับการแต่งตัวสวย ๆ แล้วออกไปเดินเล่น
ไฮไลท์สำคัญที่สุด คงหนีไม่พ้น "การชมดอกซากุระ" (ฮานามิ) ที่จะบานสะพรั่งเปลี่ยนทั้งประเทศให้กลายเป็นสีชมพูอ่อนหวาน เป็นภาพที่งดงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุด ก็ต้องแลกมากับการเป็นช่วงที่พีคที่สุดเช่นกัน ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและราคาที่พักจะสูงกว่าฤดูอื่น ๆ
ฤดูใบไม้ร่วง (ตุลาคม - พฤศจิกายน) ที่สุดแห่งความสวยงามโรแมนติก
หากฤดูใบไม้ผลิคือความสดใส ฤดูใบไม้ร่วงก็คือความสวยงามสุดคลาสสิกและโรแมนติก เป็นอีกหนึ่งฤดูที่อากาศดีมาก ท้องฟ้ามักจะโปร่งใสและมีแดดสวย ทำให้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการถ่ายรูปและมีโอกาสเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ชัดเจน
ไฮไลท์สำคัญที่สุด คือการชมใบไม้เปลี่ยนสี (โคโย) ที่ต้นไม้ทั่วทั้งภูเขาและสวนสาธารณะจะพร้อมใจกันเปลี่ยนเป็นสีแดง ส้ม และเหลืองทอง สร้างทัศนียภาพที่งดงามตระการตา นอกจากนี้ยังเป็น "ฤดูแห่งของอร่อย" เพราะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวพืชผลนานาชนิด ด้วยเหตุนี้ ฤดูใบไม้ร่วงจึงเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลายอดนิยมที่ครองใจนักท่องเที่ยวได้ไม่แพ้กัน
เที่ยวญี่ปุ่นช่วงไหนดี? เจาะลึกครบทั้ง 4 ฤดู พร้อมไฮไลท์และข้อควรรู้
ถึงแม้ว่าเราจะยกให้ฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงเวลาทองที่อากาศดีและน่าเที่ยวที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฤดูร้อนและฤดูหนาวของญี่ปุ่นจะไม่มีอะไรน่าสนใจนะครับ ในทางกลับกัน ทั้งสองฤดูนี้กลับมอบประสบการณ์และมีไฮไลท์เฉพาะตัวที่หาไม่ได้ในฤดูอื่นเลย ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลดอกไม้ไฟสุดอลังการในฤดูร้อน หรือบรรยากาศหิมะขาวโพลนสุดโรแมนติกในฤดูหนาว
เพื่อให้คุณได้ข้อมูลครบถ้วนและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เรามาเจาะลึกรายละเอียดของแต่ละฤดูกันเลยครับว่ามีข้อดีและข้อควรพิจารณาอะไรบ้าง
1. ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม - พฤษภาคม) ฤดูแห่งการเริ่มต้น
นี่คือฤดูที่เรียกได้ว่าเป็นราชาของการท่องเที่ยวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง เป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นเริ่มจางหายไป กลายเป็นความอบอุ่นที่เย็นสบาย และทั้งประเทศจะพร้อมใจกันเฉลิมฉลองความงดงามของดอกซากุระที่บานสะพรั่ง เป็นฤดูที่เต็มไปด้วยความสดใสและมีชีวิตชีวาที่สุด
สำหรับไฮไลท์เด็ดช่วงนี้ เรายกมาให้ดังนี้
ที่สุดแห่งการชมซากุระ (ฮานามิ)
นี่คือแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของฤดูนี้ คุณจะได้เห็นภาพต้นซากุระบานสะพรั่งเป็นสีชมพูขาวทั่วทั้งสวนสาธารณะ ปราสาท และริมแม่น้ำ ผู้คนจะออกมาปิกนิกใต้ต้นซากุระ เป็นบรรยากาศที่น่าจดจำและหาที่ไหนไม่ได้
สภาพอากาศที่สมบูรณ์แบบ
เป็นช่วงที่อากาศดีที่สุดสำหรับการท่องเที่ยว อุณหภูมิจะเย็นสบาย (เฉลี่ยประมาณ 10-20°C) ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป เหมาะกับการเดินเล่นชมเมืองได้ตลอดทั้งวัน
เทศกาลดอกไม้นานาชนิด
นอกจากซากุระแล้ว ในช่วงปลายฤดู (ปลายเมษายน - พฤษภาคม) ยังมีเทศกาลชมดอกไม้สวยงามอื่น ๆ ที่โด่งดังไม่แพ้กัน เช่น ดอกวิสทีเรีย (Wisteria) สีม่วงที่เป็นอุโมงค์งดงาม และทุ่งดอกชิบะซากุระ (Shibazakura) หรือพิงค์มอสที่บานเป็นพรมสีชมพูสดใส
สตรอว์เบอร์รีและขนมตามฤดูกาล
ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูของสตรอว์เบอร์รีญี่ปุ่นที่ลูกใหญ่และหวานฉ่ำ มีกิจกรรมให้ไปเก็บสตรอว์เบอร์รีสดๆ จากฟาร์ม และยังมีขนมเครื่องดื่มรสซากุระออกมาวางขายเป็นพิเศษอีกด้วย
แต่ด้วยความที่เป็นฤดูที่สวยที่สุด จึงเป็นช่วงพีคที่สุดเช่นกัน คุณต้องเตรียมใจเจอกับนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลในทุก ๆ ที่ และราคาตั๋วเครื่องบินกับโรงแรมจะพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว และหากต้องการเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงซากุระบาน (โดยเฉพาะปลายมีนาคม - กลางเมษายน) จำเป็นต้องจองตั๋วเครื่องบินและที่พักล่วงหน้าอย่างน้อย 6-12 เดือน ไม่เช่นนั้นอาจเต็มหรือเจอราคาที่แพงมาก
นอกจากนี้ ปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมจะเป็นช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่องของคนญี่ปุ่น ซึ่งคนญี่ปุ่นเองก็จะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศกันอย่างล้นหลาม ทำให้การเดินทางแออัดและที่พักจะหายากและแพงที่สุดในช่วงนี้ ที่สำคัญที่เราไม่อยากให้คุณคาดหวังคือ ช่วงเวลาที่ซากุระบานจะแตกต่างกันไปในแต่ละปีและแต่ละภูมิภาค (บานจากใต้ขึ้นเหนือ) ดังนั้นก่อนวางแผนต้องคอยติดตาม "พยากรณ์ซากุระ" อย่างใกล้ชิด
2. ฤดูใบไม้ร่วง ( กันยายน - พฤศจิกายน) ฤดูแห่งสีสัน
นี่คือฤดูที่สวยงามเป็นอันดับสองรองจากฤดูใบไม้ผลิ ความร้อนอบอ้าวของฤดูร้อนจะจางหายไป ถูกแทนที่ด้วยอากาศที่เย็นสบายและท้องฟ้าที่โปร่งใส ทิวทัศน์ทั่วประเทศจะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเขียวชอุ่มกลายเป็นสีโทนอุ่นอย่างสีแดง ส้ม และเหลืองทอง ทำให้บรรยากาศโดยรวมมีความสวยงามคลาสสิกและโรแมนติกมากเป็นพิเศษ สำหรับไฮไลท์เด็ดที่ไม่ควรพลาดนั้น เรายกมาให้ดังนี้
การชมใบไม้เปลี่ยนสี (โคโย)
นี่คือพระเอกของฤดูกาล การได้ไปเดินท่ามกลางใบเมเปิ้ล (โมมิจิ) สีแดงสด หรือถนนที่เต็มไปด้วยใบแปะก๊วย (อิちょう) สีเหลืองทองอร่าม ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ สถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดังมีอยู่ทั่วประเทศ เช่น นิกโก้รอบทะเลสาบคาวากุจิโกะ และวัดต่าง ๆ ในเกียวโต
อากาศดีที่สุดสำหรับการถ่ายภาพ
ฤดูใบไม้ร่วงขึ้นชื่อเรื่องอากาศที่เย็นสบายและมีความชื้นต่ำ ทำให้ท้องฟ้าส่วนใหญ่จะโปร่งใสเป็นพิเศษ เหมาะแก่การถ่ายรูปอย่างยิ่ง และยังเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิอย่างชัดเจน
ฤดูแห่งของอร่อยและการเก็บเกี่ยว
เป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นอุดมสมบูรณ์ที่สุด คุณจะได้ลิ้มรสวัตถุดิบตามฤดูกาลที่อร่อยเป็นพิเศษ เช่น ปลาซันมะย่างเกลือเห็ดมัตสึทาเกะราคาแพง เกาลัด (คุริ) มันหวานเผาร้อน ๆ (ยากิอิโมะ) และลูกพลับหวานฉ่ำ
เทศกาลและงานประดับไฟ
หลายๆ วัดและสวนจะมีการจัดงาน "Light-up" ในตอนกลางคืน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีในบรรยากาศที่แปลกตาและน่าประทับใจยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น เดือนกันยายนยังคงเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นมีความเสี่ยงที่จะเจอพายุไต้ฝุ่นสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแผนการเดินทางได้ เช่น ฝนตกหนัก ลมแรง หรือเที่ยวบินล่าช้า/ยกเลิก และแม้จะไม่หนาแน่นเท่าช่วงซากุระ แต่ก็ยังถือเป็นช่วงพีคซีซั่น โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายนตามจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดังต่าง ๆ ก็จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว จึงควรจองที่พักและตั๋วเครื่องบินล่วงหน้า
เช่นเดียวกับซากุระครับ ช่วงเวลาที่ใบไม้จะเปลี่ยนสีสวยที่สุดจะแตกต่างกันไปในแต่ละปีและแต่ละภูมิภาค โดยจะเริ่มจากทางเหนือสุด (ฮอกไกโด) ในเดือนกันยายน และค่อย ๆ ไล่ลงมาทางใต้จนถึงโตเกียวและเกียวโตในเดือนพฤศจิกายน จึงต้องคอยตรวจสอบ "พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี" ก่อนวางแผน
นอกจากนี้ อากาศในช่วงต้นฤดู (กันยายน) อาจยังคงร้อนอยู่บ้าง ในขณะที่ปลายฤดู (ปลายพฤศจิกายน) จะเริ่มหนาวเย็นลงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะช่วงกลางคืน อุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็ว ควรเตรียมเสื้อผ้าที่สามารถใส่เป็นชั้น ๆ เพื่อปรับตามสภาพอากาศได้
3. ฤดูหนาว (ธันวาคม - กุมภาพันธ์) ฤดูแห่งความหนาวและแสงไฟ
ฤดูหนาวในญี่ปุ่นเป็นฤดูแห่งความแตกต่างอย่างมีเสน่ห์ ด้านหนึ่งคือความหนาวเย็นและภาพหิมะขาวโพลนที่สวยงามราวกับเทพนิยายในภาคเหนือและแถบภูเขา อีกด้านหนึ่งคือความสว่างไสวของงานประดับไฟสุดอลังการในเมืองใหญ่ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับคนที่ไม่กลัวความหนาวและมองหาประสบการณ์พิเศษที่หาไม่ได้ในฤดูอื่น ไฮไลท์เด็ดที่เราไม่อยากให้คุณพลาด มีดังนี้
กิจกรรมเกี่ยวกับหิมะ
นี่คือสวรรค์ของคนรักหิมะอย่างแท้จริง คุณสามารถไปเล่นสกีหรือสโนว์บอร์ดในสกีรีสอร์ทระดับโลกอย่างที่ฮอกไกโดและนากาโน่ หรือไปชมเทศกาลแกะสลักน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง เทศกาลหิมะที่ซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) ในเดือนกุมภาพันธ์
งานประดับไฟสุดอลังการ
ตั้งแต่ช่วงปลายปีไปจนถึงวันวาเลนไทน์ หลาย ๆ เมืองทั่วญี่ปุ่นจะมีการจัดงานประดับไฟอย่างยิ่งใหญ่ เปลี่ยนท้องถนนและสวนสาธารณะในยามค่ำคืนให้สว่างไสวและโรแมนติก
แช่ออนเซ็นท่ามกลางหิมะ
การได้แช่บ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้ง (Rotenburo) ในขณะที่หิมะโปรยปรายลงมา ถือเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ฟินและผ่อนคลายที่สุดของการมาเที่ยวญี่ปุ่นในฤดูหนาว
โอกาสเห็นภูเขาไฟฟูจิชัดที่สุด
ฤดูหนาวเป็นช่วงที่อากาศมีความชื้นน้อยที่สุด ท้องฟ้าจึงมักจะโปร่งใส ทำให้เป็นฤดูที่มีโอกาสได้เห็นภูเขาไฟฟูจิซังแบบเต็มตาและชัดเจนที่สุด
นักท่องเที่ยวน้อยลงในเมืองหลัก
หากคุณไม่ได้ไปสกีรีสอร์ท การเที่ยวญี่ปุ่นในเมืองใหญ่อย่างโตเกียวหรือโอซาก้าในช่วงนี้ (โดยเฉพาะเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์) จะสบายกว่าฤดูอื่นมาก เพราะนักท่องเที่ยวจะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่ก็ต้องแลกมาด้วยอุณหภูมิในหลายพื้นที่สามารถลดลงต่ำกว่า 0°C ได้ โดยเฉพาะในตอนกลางคืนและในพื้นที่ที่มีหิมะ จำเป็นต้องเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวอย่างดี เช่น ลองจอห์น เสื้อฟลีซ และเสื้อโค้ทกันลมกันน้ำ พระอาทิตย์จะตกเร็วมาก (ประมาณ 16:30 - 17:00 น.) ทำให้คุณมีเวลาเที่ยวชมสถานที่กลางแจ้งในแต่ละวันน้อยลง ต้องวางแผนการเดินทางให้ดี
นอกจากนี้ช่วงสิ้นปีต่อเนื่องถึงต้นปีใหม่ (ประมาณ 29 ธันวาคม - 3 มกราคม) เป็นช่วงวันหยุดที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่น ร้านค้า ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งอาจปิดทำการ และการเดินทางจะหนาแน่นมากเพราะคนญี่ปุ่นเดินทางกลับบ้านเกิด และในเมืองที่ไม่ค่อยมีหิมะตก เช่น โตเกียวหรือโอซาก้า ต้นไม้จะผลัดใบจนหมด ทำให้ทิวทัศน์โดยรวมอาจดูแห้งแล้งและเป็นสีน้ำตาล ไม่สดใสเท่าฤดูอื่น
4. ฤดูร้อน ( มิถุนายน - สิงหาคม) ฤดูแห่งเทศกาลรื่นเริง
ฤดูร้อนของญี่ปุ่นเป็นฤดูที่เต็มไปด้วยพลังงานและความมีชีวิตชีวา แม้สภาพอากาศจะร้อนและชื้นคล้ายกับประเทศไทย แต่ก็ถูกทดแทนด้วยบรรยากาศของงานเฉลิมฉลอง เทศกาลแบบดั้งเดิม และกิจกรรมกลางแจ้งที่หาไม่ได้ในฤดูอื่น เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับคนที่อยากเห็นญี่ปุ่นในมุมที่สนุกสนาน คึกคัก และไม่กลัวอากาศร้อน และนี่คือไฮไลท์เด็ด ที่เราไม่อยากให้คุณพลาด
เทศกาลดอกไม้ไฟ (ฮานาบิ)
นี่คือที่สุดของฤดูร้อน! ตลอดเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ทั่วประเทศญี่ปุ่นจะมีการจัดงานแสดงดอกไม้ไฟที่ยิ่งใหญ่และสวยงามตระการตา ผู้คนจะใส่ชุดยูกาตะ (ชุดกิโมโนผ้าฝ้ายสำหรับฤดูร้อน) ไปนั่งชมดอกไม้ไฟกันอย่างคึกคัก เป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาด
เทศกาลฤดูร้อน (นัตสึ มัตสึริ)
นอกจากดอกไม้ไฟแล้ว ยังมีเทศกาลแห่ศาลเจ้าและขบวนพาเหรดแบบดั้งเดิมที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่หลายแห่ง เช่น Gion Matsuri ที่เกียวโต และ Tenjin Matsuri ที่โอซาก้า คุณจะได้สัมผัสบรรยากาศที่สนุกสนาน มีซุ้มขายอาหาร (ยาไต) และเกมต่าง ๆ มากมาย
ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ที่ฮอกไกโด
หากต้องการหนีความร้อน ฮอกไกโดคือคำตอบ ในเดือนกรกฎาคม ทุ่งดอกลาเวนเดอร์และดอกไม้นานาพันธุ์ที่เมืองฟุราโนะ (Furano) และบิเอะ (Biei) จะบานสะพรั่งเป็นพรมดอกไม้หลากสีสันสวยงามมาก
พิชิตยอดภูเขาไฟฟูจิ
ฤดูร้อน (ตั้งแต่ต้นกรกฎาคม - ต้นกันยายน) เป็นช่วงเวลาเดียวของปีที่เส้นทางการปีนภูเขาไฟฟูจิจะเปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถขึ้นไปพิชิตยอดเขาได้อย่างเป็นทางการ
เที่ยวทะเลและเกาะทางใต้
เป็นฤดูที่เหมาะที่สุดสำหรับการไปเที่ยวทะเล โดยเฉพาะที่โอกินาว่า (Okinawa) ซึ่งมีชายหาดที่สวยงามและน้ำทะเลสีฟ้าใส เหมาะกับกิจกรรมดำน้ำและกีฬาทางน้ำต่าง ๆ
แต่ข้อเสียใหญ่ ๆ ในฤดูนี้ก็คือ อากาศในเมืองใหญ่เช่น โตเกียว เกียวโต และโอซาก้า จะร้อนจัดและมีความชื้นสูง (อุณหภูมิอาจสูงกว่า 35°C) ซึ่งอาจทำให้เหนื่อยและไม่สบายตัวได้ง่าย ควรเตรียมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดีและดื่มน้ำบ่อย ๆ รวมไปถึงช่วงเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคมเป็นช่วงฤดูฝนของญี่ปุ่น (ยกเว้นฮอกไกโด) อาจต้องเจอกับฝนตกปรอย ๆ หรือตกหนักสลับกันไป ควรพกร่มติดตัวและเตรียมแผนเที่ยวในที่ร่มสำรองไว้
นอกจากนี้ ประมาณกลางเดือนสิงหาคมจะเป็นช่วงเทศกาลโอบ้ง ซึ่งเป็นวันหยุดยาวที่คนญี่ปุ่นจะเดินทางกลับบ้านเกิดหรือไปเที่ยวพักผ่อน ทำให้การเดินทางโดยเฉพาะรถไฟชินคันเซ็นจะหนาแน่นและราคาที่พักจะสูงขึ้นมาก และช่วงปลายฤดูร้อน (สิงหาคม) เป็นช่วงที่ความเสี่ยงในการเกิดพายุไต้ฝุ่นจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเที่ยวบินและการเดินทางได้
หากคุณเลือกช่วงเวลาที่ถูกใจได้แล้ว แต่ยังกังวลเรื่องการวางแผนเดินทางที่ซับซ้อน ลองให้ Ban Holiday เป็นผู้ช่วยดูแลทริปของคุณสิครับ สามารถเข้ามาเลือกชมโปรแกรม ทัวร์ญี่ปุ่น ที่มีให้เลือกหลากหลายตลอดทั้งปี เพื่อให้การไปเยือนญี่ปุ่นของคุณสะดวกสบายและน่าประทับใจที่สุด